ปี 1972 มีหนังเรื่องหนึ่งที่ทำให้โลกทั้งโลกต้องรู้จักราชากังฟูหน้าหยกนามว่า บรู๊ซ ลี หรือ หลี่เสี่ยวหลง หนังเรื่องนั้นคือ Fist of Fury หรือในชื่อไทยว่า ไอ้หนุ่มซินตึ๊งล้างแค้น หนังทำรายได้ถล่มทลายเป็นประวัิติการณ์ และกลายเป็นแบบอย่างให้กับหนังกังฟูในยุคต่อๆมา ด้วยความคลาสสิคและความสนุกจนไม่คิดว่าจะมีหนังกังฟูเรื่องใดทำได้เท่าเทียม ทว่าในเวลาอีก 22 ปีต่อมา ผู้กำกับ กอร์ดอน ชาน เล่นของสูงโดยการหยิบหนังกังฟูสุดอมตะเรื่องนี้มารีเมค โดยให้ หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ เจ็ท ลี รับบทนำเป็น เฉินเจิน ตัวเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นตัวละครเดียวกับที่ บรู๊ซ ลี เคยเล่นเอาไว้ และให้ หยวนหวูปิง มารับหน้าที่กำกับคิวบู๊ให้ ผลคือมันเป็นงานรีเมคที่เจ๋งสุดขั้ว และกลายเป็นหนังที่ดีที่สุดในศตวรรษที่ 20 ของหลี่เหลียนเจี๋ย (ส่วนศตวรรษที่ 21 คือ Fearless)
ด้วยความลงตัวหลายประการ อีกทั้งเอกลักษณ์ที่มีแนวทางในการดำเนินเรื่องของตนเองในอีกรูปแบบหนึ่่งที่ต่างไปจากฉบับออริจินอล ทำให้ Fist of Legend เป็นหนังที่ดูสนุกไม่แพ้ฉบับออริจินอลเลยทีเดียว อีกทั้งยังแสดงการคารวะฉบับออริจินอลด้วยการสอดแทรกฉากที่จัดได้ว่าเป็นฉากคลาสสิคของฉบับออริจินอลมาไว้ในหนังด้วย โดยเป็นการนำเสนอที่แตกต่างออกไป แต่ยังคงความสะใจ และสนุกดุเดือดไว้ ตามสไตล์หนังกังฟูเกรดเอเช่นเคย อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ทราบว่าเป็นความบังเอิญหรือความตั้งใจกันแน่ ที่อายุของหลี่เหลียนเจี๋ยในขณะที่หนังเรื่องนี้ออกฉาย ตรงกันกับอายุของบรู๊ซ ลีในช่วงที่ Fist of Fury ออกฉายพอดี คือเมื่ออายุได้ 31 ปี ซึ่งก็ไม่ทราบนะครับว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ ทั้งสองเรื่องล้วนเป็นหนังกังฟูที่เมื่อคอกังฟูได้ชมแล้ว ต้องเอ่ยปากว่า “เจ๋ง” อย่างแน่นอน
Fist of Legend มีฉากหลังในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ญี่ปุ่นบุกยึดครองจีน ชาวจีนถูกชาวญี่ปุ่นปรามาสว่าเป็นขี้โรคเอเชีย ณ ห้วงเวลานี้ได้บอกเล่าเรื่องราวของ เฉินเจิน(หลี่เหลียนเจี๋ย) ศิษย์เอกแห่ง สำนักจิงอู่ ที่ไปร่ำเรียนวิทยาการถึงญี่ปุ่น และมีคนรักเป็นนักเรียนสาวชาวญี่ปุ่นที่เรียนอยู่คลาสเดียวกันชื่อ ยามาดะ มิตสึโกะ (ชิโนบุ นาคายาม่า) แม้กระนั้นเฉินเจินก็ยังถูกชาวญี่ปุ่นเหยียดหยาม โดยเฉพาะเหล่านักคาราเต้สังกัดพรรคโคคุริว จนวันหนึ่งเฉินเจินได้รู้ข่าวเรื่องที่ ฮั่วหยวนเจี่ย ผู้เป็นอาจารย์เสียชีวิตระหว่างการประลองกับ อาคุตากาว่า เรียวอิจิ(แจ็คสัน หลิว) เขาจึงกลับไปที่สำนักจิงอู่ เพราะไม่เชื่อว่าอาจารย์จะพ่ายแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ ในที่สุดเฉินเจินก็พบว่าแท้จริงแล้วอาจารย์โดนวางยาพิษต่างหาก เฉินเจินจึงขอความร่วมมือกับ ฮั่วถิงเอิน(เฉินเสี่ยวหาว) ลูกชายของฮั่วหยวนเจี่ยผู้เปรียบเสมือนพี่ชายของเขาในการสืบหาฆาตกรที่วางยาพิษฮั่วหยวนเจี่ย การกลับมาของเฉินเจินในครั้งนี้ สร้างความปลาบปลื้มให้กับพี่น้องร่วมสำนักเป็นอย่างมาก เพราะฝีมือของเฉินเจินนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าถิงเอินเลย หนำซ้ำเขายังสามารถเอาชนะเรียวอิจิได้อีก เป็นการพิสูจน์ว่าฮั่วหยวนเจี๋ยไม่ได้เสียชีวิตเพราะพ่ายแพ้เรียวอิจิเป็นแน่ เพราะแค่ตัวเฉินเจินเองซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฮั่วหยวนเจี๋ยเอง เรียวอิจิยังสู้ไม่ได้เลย
ทว่าวันหนึ่งก็มีศพของเรียวอิจิปรากฏอยู่หน้าสำนักโคคุริว มีข้อความเขียนป้ายความผิดให้กับเฉินเจินว่าเป็นคนสังหารเรียวอิจิ จนเฉินเจินต้องโดนจับกุมตัว ร้อนถึงมิตสึโกะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาแก้ต่างให้กับเฉินเจินจนพ้นคดี แต่มิตสึโกะเองก็กลายเป็นบุคคลล้มละลายไปแล้วเช่นกัน จึงมาขออาศัยกับเฉินเจิน เฉินเจินเองซึ้งในน้ำใจมิตสึโกะที่ช่วยเหลือตนจึงคิดจะให้มิตสึโกะมาอยู่ร่วมสำนักด้วย ทว่าพี่น้องในสำนักไม่ยอมรับมิตสึโกะ เพราะเห็นว่าเธอเป็นชาวญี่ปุ่น ท้ายที่สุดเฉินเจินต้องยอมออกจากสำนักเพื่อตัดปัญหา แม้จะต้องโดนประชาชนของทั้งสองชาติรุมประณามก็ตาม เฉินเจินและมิตสึโกะได้ปลูกกระท่อมที่สุสานของฮั่วหยวนเจี่ยผู้เป็นอาจารย์ ทว่าก็ยังหนีไม่พ้นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพรรคโคคุริวอย่าง ฟูมิโอะ ฟูนาโกชิ(ยาสุอากิ คุราตะ) ที่หมายพิสูจน์ฝีมือกับเฉินเจิน และยังมีอีกหนึ่งศัตรูตัวฉกาจคือ นายพลฟูจิตะ โก(บิลลี่ โจว) จอมกระหายเลือดผู้เป็นคนสังหารเรียวอิจิตัวจริงภายในสองกระบวนท่า อีกทั้งยังหมายกวาดล้างสำนักจิงอู่อีกด้วย ทำให้เฉินเจินต้องลุกขึ้นต่อสู้ แม้จะรู้ดีว่าสำนักจิงอู่ที่เขาเคยร่ำเรียนวิชามาจะไม่ได้ยืนเคียงข้างเขาอีกแล้วก็ตาม
ตัวละครหลัก
เฉินเจิน(หลี่เหลียนเจี๋ย) ศิษย์เอกของฮั่วหยวนเจี่ย มีฝีืมือเก่งกาจจนเป็นที่ยกย่อง แต่เพราะมีคนรักเป็นชาวญี่ปุ่นจึงถูกตราหน้าว่าขายชาติ นิสัยเป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ อารมณ์แปรปรวนบ้าง แต่มีไหวพริบดี
ยามาดะ มิตสึโกะ(ชิโนบุ นาคายาม่า) คนรักของเฉินเจินที่คบกันสมัยเรียน ภายหลังเฉินเจินกลับเมืองจีน ก็โดนพิษการเมืองเล่นงานจนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ด้วยความรักทำให้เธอตัดสินใจไปหาเฉินเจินที่เมืองจีนและช่วยแก้ต่างคดีให้ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องทำให้เฉินเจินออกจากสำนักจิงอู่ ทำให้เธอรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาก
ฮั่วถิงเอิน(เฉินเสี่ยวหาว) ลูกชายของฮั่วหยวนเจี่ย เป็นเสมือนพี่ชายของเฉินเจิน แต่การกลับมาของเฉินเจินในฐานะฮีโร่ของศิษย์สำนักจิงอู่ ทำให้เขาแอบอิจฉาเฉินเจินอยู่ลึกๆ แต่จริงๆแล้วเป็นคนมีเหตุผล แม้บางครั้งจะชอบใช้กำลังตัดสินปัญหาก็ตาม มีคนรักเป็นนางคณิกาชื่อ เสี่ยวหงส์
ฟูมิโอะ ฟูนาโกชิ(ยาสุอากิ คุราตะ) ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งพรรคโคคุริว และเป็นคนที่มิตสึโกะนับถือ แม้จะอยู่คนละฝ่ายกับเฉินเจิน แต่แท้จริงแล้วก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง บางคราวอาจวางมาดพูดอะไรน่ากลัวไปบ้าง แต่ความจริงแล้วเป็นคนใจดี
ฟูจิตะ โก(บิลลี่ โจว) นายพลแห่งกองทัพญี่ปุ่น ฉายา “จอมกระหายเลือด” เป็นคนเลือดเย็น โหดเหี้ยม และมีฝีมือลึกล้ำ ทำไ้ด้ทุกวิถีทางเพื่อหาทางเอาชนะศัตรู ซึ่งเจ้าตัวมักจะอ้างว่า มันเป็น “กลยุทธ์” และพร้ิอมที่จะกำจัดพวกเดียวกันได้ทุกเมื่อ ทันทีที่รู้สึกไ้ด้ถึงความไม่ชอบมาพากล
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของชาวจีน ยังคงเป็นบ่อเกิดแห่งเนื้อเรื่องอันคลาสสิค เกี่ยวกับวีรบุรุษชาวจีนได้ทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่อดีตกาลนับพันปีก่อน กระทั่งเมื่อไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมา กับเรื่องราวในต้นฉบับอย่าง Fist of Fury จุดประสงค์หลักของเรื่องนั้นก็คือการปลุกระดมให้เกิดความเป็นชาตินิยมอย่างสุดขั้ว และปฏิวัติตนเองจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามโดยประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่ Fist of Legend กลับมองญี่ปุ่นโดยเปิดใจมากขึ้น สร้างตัวละครของชาวญี่ปุ่นให้มีทั้งดี(มิตสึโกะ , ฟูนาโกชิ) และร้าย(ฟูจิตะ , นักเรียนพรรคโคคุริว) เพื่อให้ผู้ชมได้เปิดใจ ว่าคนญี่ปุ่นในยุคนั้นแท้จริงก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด ที่เลวร้ายจริงๆก็เฉพาะทางทหารเท่านั้น แต่ชาวญี่ปุ่นที่เป็นพลเรือนก็พลอยโดนร่างแหถูกชาวจีนเกลียดชังไปด้วย และเพราะความที่ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ประชาชนเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ตัวละครชาวญี่ปุ่นจึงถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับอุดมการณ์และนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดีก็แสนดี เลวก็แสนเลว อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ต่างกับตัวละครชาวจีนที่มีบุคลิกซับซ้อน และมีความเป็นปุถุชนสูง โดยเฉพาะตัวละครของ ฮั่วถิงเอิน และ หนงเจี้ยนซุน (พอล ชุน) กับทัศนคติที่มีต่อตัวเฉินเจิน
หนงเจี้ยนซุนเป็นคนเก่าแก่ในสำนัก หลังจากฮั่วหยวนเจี่ยเสียชีวิตเขาก็รับหน้าที่จัดการทุกอย่างในสำนัก แม้จะปากไว พูดไม่เกรงใจไปบ้าง แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปก็เพราะเป็นห่วงลูกหลาน ในตอนที่เฉินเจินกลับมาถึงสำนัก พร้อมกับโชว์ฝีมือกังฟูที่พัฒนาขึ้นนั้นก็ทำให้หนงเจี้ยนซุนไม่พอใจ เพราะเกรงว่าบรรดาศิษย์สำนักจะหันไปเรียนกับเฉินเจินกันหมด โดยไม่ใส่ใจฮั่วถิงเอินที่เป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไปตัวจริง อีกทั้งเฉินเจินยังทำอะไรโดยพลการ ไม่ว่าจะเป็นการออกไปท้าตีกับฟูตากาว่า จนเหล่าลูกศิษย์ต้องมาเอาเรื่องถึงสำนักจิงอู่ ไหนจะผ่าศพอาจารย์เพื่อพิสูจน์หลักฐาน และที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับสำนักจิงอู่คือการรับมิตสึโกะ คนรักซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นมาอยู่ร่วมชายคาด้วย ทำให้เพื่อนๆรับไม่ได้ ท้ายที่สุดเฉินเจินจำต้องพามิตสึโกะไปจากสำนักทั้งสองคน
การวางตัวละครให้มีมิติที่ลึกเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้บทหนังที่ค่อนข้างอ่อนค่อยแน่นขึ้นมาในทันตา อีกทั้งเนื้อเรื่องก็ยังมีการดำเนินเรื่องที่น่าติดตาม และ ใส่ฉากบู๊เข้ามาได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ทำให้ไม่เกิดความน่าเบื่อในหนังเลย ทั้งการแสดงของนักแสดงแต่ละคน ก็ถือได้ว่าทำได้ดี น่าประทับใจ และคนที่มีบุคลิกเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น บิลลี่ โจว ในบทนายพลฟูจิตะ ตัวร้ายสุดของเรื่อง ที่แสดงสีหน้าและท่าทางที่มีทั้งความน่ากลัวและน่าหมั่นไส้ไปในเวลาเดียวกัน ยิ่งคิวบู๊ก็ยิ่งหายห่วง เพราะดีกรีนักมวยไทยซะอย่าง อีกทั้งยังรับเล่นหนังบู๊มาหลายต่อหลายเรื่อง (ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นตัวร้าย) และอาจพูดได้ว่าบทนายพลฟูิจิตะ อาจเป็นบทที่ดีที่สุดในชีวิตการแสดงของบิลลี่เลยก็ว่าได้
หากถามว่าอะไรคือไฮไลท์ของหนังเรื่องนี้รองจากคิวบู๊ ก็คงตอบไ้ด้อย่างเต็มปากว่า นักแสดงนั่นเอง สำหรับคอกังฟู เพียงแค่ได้ยินชื่อ เจ็ท ลี หรือ หลี่เหลียนเจี๋ย หนึ่งในสี่จตุรเทพตำนานฟัดของฮ่องกง(ร่วมกับอีกสามคนคือแก๊ง Lucky Stars อันได้แก่ หยวนเปียว เฉินหลง และหงจินเป่า)ก็คงจะตัวสั่นกันเป็นแถว ที่สำคัญมันยังเป็นหนังที่รวมเอาดารากังฟูเกรดเอเอาไว้ถึงสี่คน ทั้งหลี่เหลียนเจี๋ย เฉินเสี่ยวหาว บิลลี่ โจว และ ยาสุอากิ คุราตะ เมื่อรวมกับคิวบู๊ระดับปรมาจารย์อย่างหยวนวูปิงแล้ว ฝีมือระดับพวกเขาคงจะถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าติดตาม และที่ดึงดูดที่สุด คงหนีไม่พ้น ชิโนบุ นาคายาม่า สาวน้อย(ในตอนนั้น)ที่ทั้งสวยและน่ารัก ผมเองยังยอมรับเลยครับว่าเธอสวยและน่ารักจริงๆ อีกทั้งคาแรคเตอร์ที่ทั้งน่ารักและน่าสงสารก็ส่งให้เธอดูมีประกายขึ้นอีกเป็นกอง (ถ้าไม่ติดว่าเกิดก่อนผม 20 ปี ป่านนี้จีบไปนานแล้ว 555)
ด้วยชื่อผู้กำกับคิวบู๊อย่าง หยวนหวูปิง คิวบู๊ในเรื่องนี้เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นที่แกเคยกำกับมา หรือลองเทียบกับงานที่แกกำกับทั้งคิวบู๊และหนังเลยในปีเดียวกันอย่าง Wing Chun แล้ว คิวบู๊ใน Fist of Legend ดูจะด้อยกว่าเล็กน้อย และค่อนข้างจะต่ำกว่ามาตรฐานของหยวนหวูปิงเอง แต่อย่างน้อยมันก็ยังดูดีกว่าฉากแอ็คชั่นหลายๆเรื่อง จุดเด่นของฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้ แม้ซีนบู๊จะไม่ดุเดือด หรือซับซ้อนเท่าไรนัก แต่หยวนหวูปิงก็ทดแทนด้วยการสร้างซีนบู๊ขนาดยาวเพื่อให้ผู้ชมได้ร่วมลุ้นตลอด ซึ่งก็ทำได้ยาวพอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะฉากไคลแมกซ์ที่เฉินเจินต้องยื้อฝีมือกับนายพลฟูจิตะเป็นเวลากว่า 10 นาที ซึ่งเป็นอีกหนึ่งซีนบู๊ที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์หนังกังฟูเลยทีเดียว และที่ผมชอบมากๆก็คือ ซีนบู๊ส่วนใหญ่จะใช้ความครีเอทโดยการหยิบฉวยข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่รายล้อมอยู่รอบกายมาเป็นอาวุธ ซึ่งก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมทีเดียว
และเพราะความครีเอทนี่เอง ทำให้ซีนบู๊หลายซีนเป็นที่น่าจดจำ อย่างน้อยก็ซีน “ปิดตาสู้” ระหว่าง เฉินเจิน และ ฟูนาโกชิ ที่สุสานฮั่วหยวนเจี่ย และซีนไคลแมกซ์ที่ลากยาวกว่า 10 นาที พร้อมทั้งคิวบู๊ที่มีเอกลักษณ์ ไม่ลอกเลียนเวอร์ชั่นออริจินอล อีกทั้งการเล่าเรื่องที่เริ่มมีสไตล์ของตนเอง แม้คิวบู๊ในเรื่อง จะไม่โหดหรือสะใจ ระบายควาคลั่งแค้นได้ดีเท่ากับใน Fist of Fury ทว่า Fist of Legend มีดีที่ความครีเอทและความมีเหตุผล แม้ว่าท่วงท่าการต่อสู้อาจไม่สวยงามมากนัก เมื่อเทียบกับผลงานอื่นๆที่หยวนหวูปิงกำกับมา แต่ก็ได้ฉากต่อสู้อันจุใจมาทดแทน รวมทั้งการดำเนินเรื่องก็ทำได้ดีไม่แพ้ต้นฉบับเลย ทำให้มีความสุขและสนุกทุกครั้งที่หยิบมันขึ้นมาดู
ในฐานะหนังรีเมค Fist of Legend เป็นงานรีเมคที่ทำออกมาได้เจ๋งพอสมควร มีแนวทางเป็นของตนเอง และมีีจุดดีมากกว่าจุดด้อย ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดในยุคศตวรรษที่ 20 ของหลี่เหลียนเจี๋ย และผู้กำกับ กอร์ดอน ชาน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้คนรุ่นใหม่ได้รับชม สำหรับใครที่เกิดไม่ทันชมเวอร์ชั่นต้นฉบับ เพราะ Fist of Legend ก็มีความสนุกและความน่าติดตามในตัวของมันเองอย่างล้นเหลือไม่แพ้ต้นฉบับเลยทีเดียว แม้ที่สุดแล้ว Fist of Legend อาจไม่ถึงกับเป็นหนังที่ Perfect ทว่าอย่างน้อย หนังเรื่องนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเข้าใกล้กับคำว่า Perfect มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์หนังกังฟู และในใจคอหนังกังฟูหลายๆคน
คะแนนรวม 1o/10 อย่าได้ลังเลที่จะเลือกมาชม
ฉากเด็ด
ฉาก “ปิดตาสู้” ระหว่าง เฉินเจิน(หลี่เหลียนเจี๋ย) และ ฟูนาโกชิ(ยาสุอากิ คุราตะ) ซึ่งฉากนี้เป็นที่พูดถึงกันมาก เพราะมีความแปลกตาไปอีกแบบจาก ปึงซีเง็ก ปิดตาสู้ ที่หลี่เหลียนเจี๋ยเคยแสดงมาก่อน ซึ่งใน Fist of Legend จะมีความสมจริงมากกว่า และที่สำคัญเป็นการแลกเปลี่ยนวิชากับ ศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่นอย่างคาราเต้อีกด้วย แม้ความมันส์และความดุเดือดจะสู้ฉากไคลแมกซ์ไม่ได้ แ่ต่ความ “แหวก” และมีเอกลักษณ์ก็สามารถทำให้ซีนนี้เป็นที่น่าจดจำที่สุดในหนัง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเีดีย Wikipedia
Directed by Gordon Chan
Yuen Woo-ping (Martial arts)
Produced by Jet Li
Written by Gordon Chan
Lan Kay-toa
Kwong Kim-yip
Starring Jet Li
Chin Siu-ho
Shinobu Nakayama
Billy Chau
Yasuaki Kurata
Paul Chun
Music by Joseph Koo (Hong Kong version)
Stephen Edwards (Miramax version)
Cinematography Derek Wan
Editing by Chan Ki-hop
Studio Eastern Productions
Distributed by Golden Harvest
Release date(s) Hong Kong:
22 December 1994
Running time 103 minutes (HK)
98 minutes (US)
Country Hong Kong
Language Cantonese
Japanese
English