เราอาจจะเคยเห็นหนังแอ็คชั่นประเภทซุปเปอร์ฮีโร่กันมาแล้วจากหลายต่อหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Batman อิมพอร์ตจากพี่กัน อเมริกา , Spiderman จากเมืองผู้ดี อังกฤษก็มีมาแล้ว และอีกหลายต่อหลายตัวไม่ว่าจะเป็น Iron Man , Hulk , Captain America , X-Men และอีกหลายต่อหลายตัวที่ยกโขยงกันมาจากทั้ง Marvel และ DC ฝั่งเอเชียเราเท่าที่เห็นเด่นๆเลยก็คือ Masked Rider หรือไอ้มดแดง , Ultraman และก็ ขบวนการห้าสี ซึ่งเป็นผลงานของพี่ยุ่นเค้า พี่ไทยเราก็ไม่น้อยหน้า ส่ง มนุษย์เหล็กไหล กับ อินทรีแดง มาบ้าง แม้ตอนเข้าฉายจะไม่น้อยหน้า แต่หลังฉายและได้คำวิจารณ์แล้ว ไทยเราก็ต้องหน้าหดไปตามๆกัน คราวนี้เป็นทีของสตูดิโอจากฝั่งบอลลีวู้ด อุตสาหกรรมหนังอินตะระเดียเค้า หลังจากที่ผลิตหนังหลากหลายแนวมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถึงเวลาส่งหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่พันธุ์โรตีขึ้นมาบ้าง เป็นที่มาของเรื่อง Krissh – คนพลังพายุ ที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้ โดยมอบหมายบทพระเอกให้กับหนุ่มกล้ามบึ้ก หฤติก โรชาน แม้บางส่วนของหนังจะยังเดินตามรอยสูตรสำเร็จของขนบหนังอินเดียทั่วๆไปอยู่บ้าง แต่ด้วยการเดินเรื่องที่สนุก ทำให้ Krrish ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม จากทั้งในและนอกประเทศ ทำให้ต้องเข็นภาค 2 ออกมา เข้าฉายใน ปี 2012 นี้เลยแหละทุกท่าน แว่วๆมาว่าจะทำเป็น 3D ซะด้วยสิ เอ้า
หลายคนอาจจะมองว่ามันไม่แปลกไปเหรอที่อินเดียคิดจะทำหนังซุปเปอร์ฮีโร่ซักเรื่อง ขอตอบเลยว่า มันไม่แปลกหรอกครับ เพราะหนังอินเดียแต่ละเรื่อง จะมีพระเอกที่มีฝีมือบู๊เก่งปานพระนารายณ์กลับชาติมาเกิดกันทั้งนั้น เตะต่อยทีกระเด็นขึ้นหลังคา เล่นเอาซะหนังจีนกำลังภายในยังอายเลยทีเดียว จึงไม่น่าแปลกหากเค้าคิดจะหาเหตุผลมาให้พระเอกเหล่านี้ดูเก่งเว่อร์ผิดมนุษย์มนาบ้าง โดยการอัพเกรดสถานะให้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่เพื่อลดข้อกังขาตรงนี้ไป ยังไม่รวมหนังสมัยก่อนที่เอาตำนานเทพเจ้ามาสร้าง โอ้โหเฮะ เว่อร์กว่านี้อีกหลายเท่าตัวนักคุณเอ๊ย สำหรับ Krrish นี้จะแตกต่างจากหนังซุปเปอร์ฮีโร่ทั่วๆไปตรงที่มีการผสมผสานเนื้อเรื่องหลายๆแนวเข้าไป ตามขนบหนังอินเดีย ทั้งไซไฟ ตลก โรแมนติก พ่อแง่แม่งอนมีบ้าง เหมือนดูละครทีวียังไงยังงั้น แต่ที่นึกไม่ถึงคือ การใส่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวเข้าไปด้วย ซึ่งมีหนังน้อยเรื่องนักที่จะใส่ประเด็นตรงนี้เข้าไป (เท่าที่เห็นก็มี Spiderman ภาค 1 และก็ วิ่งกระเตงฟัด) และประเด็นครอบครัวใน Krrish ก็ดูซึ้งและประทับใจมาก จนให้อารมณ์ Feel Good อย่างยากที่จะหาเรื่องไหนมาเปรียบกับเรื่องนี้ได้
Krrish เป็นเรื่องราวของ โสณิยา เมรา (เรขา) หญิงวัยกลางคนที่พบว่า กฤษณะ หลานชายตัวน้อยของเธอมีความสามารถเกินเด็กธรรมดาทั่วไป เมรารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะพลังพิเศษที่กฤษณะได้รับตกทอดมาจาก โรฮิต (หฤติก โรชาน) ลูกชายของเธอซึ่งเป็นพ่อของกฤษณะ โรฮิตได้รับพลังนี้จาก จาดู มนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนบนโลกและได้เป็นเพื่อนกับโรฮิต ทำให้โรฮิตกลายเป็นคนที่ฉลาดเกินวัย และได้รับการไหว้วานจาก ดร.อารียา (นสีรุดดิน ชาห์) นักวิทยาศาสตร์ที่ขอให้โรฮิตช่วยใช้พลังพิเศษในการสร้างคอมพิวเตอร์ที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ แต่แล้วโรฮิตก็โดน ดร.อารียาหักหลังในวันที่ ณิชา (ปรีตี้ ซินตา) ภรรยาของโรฮิตคลอดกฤษณะพอดี และโรฮิตก็ไม่ได้กลับมาอีก ทำให้ณิชาตรอมใจตาย ทิ้งให้เมราต้องเลี้ยงดูหลานชายตามลำพัง เมราเกรงว่าความพิเศษของกฤษณะจะทำให้มีผู้ไม่หวังดีมาหลอกใช้เขาเช่นเดียวกับพ่ออีก เธอจึงตัดสินใจพากฤษณะไปเลี้ยงดูในแถบชนบทแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยป่าเขา กฤษณะเติบโตมาพร้อมกับพลังพิเศษทางกายที่เหนือกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว กระทั่งวันหนึ่ง กฤษณะในวัยหนุ่ม (หฤติก โรชาน) ได้พบกับ ปรียา (ปรียังคะ โชปุระ) พิธีกรสาวที่มาพักร้อนกับเพื่อนในละแวกบ้านของกฤษณะ และกฤษณะก็หลงรักปรียาเข้าให้
หลังจากปรียากลับไปทำงานที่สิงคโปร์ เธอก็โดนบอสเฉ่งโทษฐานที่หายไปหลายวัน ด้วยความกลัวว่าจะโดนไล่ออกจากงาน ฮันนี่ (มณีนิ มิศรา) เพื่อนสาวของปรียาแนะนำให้ปรียาหาทางให้กฤษณะมาที่สิงคโปร์เพื่อใช้ความพิเศษของเขาในการเรียกเรตติ้งเพื่อไม่ให้ตกงาน ปรียาจำใจต้องโกหกกฤษณะว่าเธอกำลังจะถูกบังคับให้แต่งงาน จึงต้องให้กฤษณะมาที่สิงคโปร์ กฤษณะขออนุญาติเมราผู้เป็นย่า แม้เมราจะห่วงกฤษณะแค่ไหน แต่เธอก็ต้องแพ้ใจให้กับความตั้งใจของหลาน โดยก่อนไปเธอได้เล่าเรื่องของโรฮิตให้กฤษณะฟัง และเตือนให้กฤษณะระวังตัวให้ดี อย่าให้ใครหลอกใช้เอาได้ กฤษณะไปถึงสิงคโปร์และได้พบกับปรียา ในที่สุดเขาและเธอก็ได้คบหากันเป็นแฟน กระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุไฟไหม้คณะละครสัตว์ที่กฤษณะกับปรียาไปเที่ยวด้วยกัน ผู้คนมากมายได้รับความเดือดร้อน กฤษณะจำต้องปลอมตัวในคราบของ กฤษ เพื่อช่วยเหลือผู้คน ความเก่งกาจของกฤษทำให้เขาโด่งดังไปทั่วสิงคโปร์ ปรียาเองก็เริ่มระแคะระคายว่า กฤษณะ กับ กฤษ อาจเป็นคนคนเดียวกัน แต่ในขณะที่เรื่องราวของกฤษยังคลุมเครือ ก็ปรากฏชายวัยกลางคนนาม วิกรม (ศารัท ศักเสนา) ผู้มาบอกกล่าวถึงความลับบางอย่างของ โรฮิต และวิกรมผู้นี้คือกุญแจสำคัญที่จะไขเรื่องราวทุกอย่างให้กระจ่าง
ตัวละครหลัก
กฤษณะ เมรา (หฤติก โรชาน) เด็กหนุ่มผู้เติบโตในป่าเขาด้วยพลังพิเศษ เป็นคนฉลาดแต่ไม่เฉลียว ซื่อจนเชื่อคนง่าย แต่ก็เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา และมักเห็นใจคนอื่นอยู่เสมอ
ปรียา (ปรียังคะ โชปุระ) พิธีกรสาวชาวอินเดียที่ทำงานในสิงคโปร์ เหมือน Working Woman แต่จริงๆแล้วเป็นคนค่อนข้างซุ่มซ่าม ขี้ตกใจด้วยซ้ำ เหมือนผู้หญิงทั่วๆไป
โสณิยา เมรา (เรขา) หญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นย่าของกฤษณะ เธอเป็นห่วงกฤษณะมาก กลัวว่าจะโดนหลอกใช้อย่างที่ โรฮิต ผู้เป็นพ่อเคยโดนมาแล้ว จึงไม่อยากให้กฤษณะไปไหนไกลๆ
ดร.อารียา (นสีรุดดิน ชาห์) หน้าฉากเขาคือนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่คนทั่วไปยกย่อง หลังฉากเขาคือจอมวายร้ายที่ทะเยอทะยานหมายจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่บนโลกให้ได้ ด้วยคอมพิวเตอร์ที่มองเห็นอนาคตได้
วิกรม (ศารัท ศักเสนา) ชายวัยกลางคนผู้เป็นผู้ช่วยของโรฮิต สมัยที่มาทำงานกับ ดร.อารียา ต่อมาเมื่อรู้ว่า ดร.อารียาเป็นคนไม่ดี จึงคิดจะถอนตัว แต่ดันมาพบกับกฤษณะเสียก่อน และได้เล่าเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับโรฮิตให้กฤษณะรู้
อันที่จริงแล้ว เรื่องราวของ Krrish นั้น ต่อนื่องมาจากภาพยนตร์เรื่อง Koi… Mil Gaya ที่ออกฉายเมื่อปี 2003 นู่น ซึ่งเป็นเรื่องราวของโรฮิตและณิชา พ่อและแม่ของกฤษณะที่ได้พบกับจาดู มนุษย์ต่างดาว โดยมีเรขามาเล่นเป็นแม่ของโรฮิต ภาพแฟลชแบ็คบางส่วนจากเรื่อง Krrish ก็เอามาจาก Koi… Mil Gaya น่าเสียดายที่เรื่องนี้ไม่ได้เข้าฉายในไทย และไม่มีแม้กระทั่งแผ่น เพราะว่ากันว่าเรื่องนั้นทำให้นางเอกสาว ปรีตี้ ซินตา โด่งดังจนได้ประกบคู่กับ ชาห์รุข ข่าน ในหนังรักโรแมนติกเรื่อง Kal Ho Naa Ho ซึ่งออกฉายในปีเดียวกันในเวลาต่อมา ซึ่งก็ต้องเข้าใจนะครับว่าตลาดหนังอินเดียไม่ได้กว้างเหมือนตลาดหนังฮอลลีวู้ด หรือฮ่องกง ที่ไม่ว่าจะมีหนังออกมา จะดีหรือห่วยก็ลากเข้าโรงหรือลงแผ่นไว้ก่อน หนังอินเดียไม่ได้ถูกใจคนไทยขนาดนั้น เว้นแต่จะเป็นหนังที่ดังจริงๆอย่าง Devdas , Dhoom ถึงจะได้มาไทย เห็นทีถ้าอยากดูจริงๆก็คงต้องไปหาแผ่นแถบพาหุรัดซะแล้วล่ะครับ หรือไม่ก็คงต้องโหลดมาดู ส่วนเรื่อง Krrish นั้นมีแผ่นมาสเตอร์แล้ว โดยบริษัท เจ – บิคส์ ก็ลองไปหามาดูแล้วกันครับ แต่คงยากหน่อยเพราะออกมาได้ 4-5 ปีแล้ว ไม่รู้จะยังเหลืออยู่มั้ย
ก็อย่างที่บอกแหละครับว่า Krrish เป็นภาคต่อจากหนังเรื่อง Koi… Mil Gaya ซึ่งทั้งสองเรื่องก็กำกับโดยผู้กำกับคนเดียวกันคือ ราเกศ โรชาน อ๊ะๆ นามสกุลคุ้นๆ ใช่มั้ยล่ะ ก็เค้าเป็นป๊ะป๋าของ หฤติก โรชาน พระเอกของเรื่องนี่ ลูกเล่นพ่อกำกับ อุตสาหกรรมในครัวเรือน โชคดีว่าคุณลูกแกหล่อเข้มบาดใจ (ไม่เหมือนผู้กำกับไทยบางคนที่รู้ว่าลูกไม่หล่อไม่เท่ ยังจะดันให้เป็นพระเอกอยู่นั่นแหละ) เผอิญ Krrish ทำรายได้ถล่มทลายก็รวยกันทั้งบ้าน ติดอันดับหนังทำเงินสูงสุดเป็นอันดับ 3 ในทศวรรษที่ผ่านมา (2000 – 2010) ก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆครับ กับหนังซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกๆของบอลลีวู้ด เนื้อเรื่องก็ถูกใจชาวอินเดียทั่วไปเลย เนื้อเรื่องเข้าใจง่าย หลายแนวผสมกัน ที่สำคัญคือ พระเอกเรื่องนี้อย่าง กฤษณะ หรือ กฤษ ถูกออกแบบมาในลักษณะแอนตี้ฮีโร่หรือเปล่าผมเองก็ไม่แน่ใจ คือถ้าพูดถึงฮีโร่ทั่วไปเราจะนึกถึง ผู้ชายมาดเท่ ลุยๆ อารมณ์ขันนิดๆ กะล่อน เจ้าชู้ บู๊เก่ง ประมาณนี้ แต่เรื่องนี้นี่มาแหวกเลย ผมว่า ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์์ จาก Spiderman นี่หน่อมแน้มพอแล้วนะ เจออีตากฤษณะเข้าไป พี่ปีเตอร์ของเราก็กลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญไปเลย
Krrish เป็นหนังที่ดูง่ายก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะต้องถูกใจผู้ชมไปเสียหมด ทำให้ได้คะแนนใน imdb ประมาณ 6.1/10 ซึ่งอยู่ในระดับกลางๆ ก็อาจเป็นเพราะความเป็น “อินเดีย” มันไม่ได้ “อินเตอร์” ไปซะหมด เพราะเนื้อเรื่องดูง่ายเกินไป ไม่ใช่หนังเจ๋งอย่าง Iron Man หรือ The Dark Knight ที่เน้นขายความเป็นคาแรคเตอร์และแนวคิดมากกว่าจะขายความบันเทิงอย่าง Krrish สำหรับ Krrish เองแม้จะออกตัวว่าเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ บู๊ๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าในหนังจะต้องบู๊กระจายอย่างนั้น เพราะเมื่อดูจริงๆแล้วจะเห็นฉากบู๊แค่เพียง 2-3 ฉาก จากความยาวทั้งหมดเกือบสามชั่วโมง! คือถ้าไม่ได้การเดินเรื่องที่น่าติดตามแล้ว มันคงจะกลายเป็นหนังสุดเซ็งไปในทันที ก็ต้องขอชื่นชมคนเขียนบทที่หาสถานการณ์มาสอดแทรกให้ตื่นเต้นกันได้ตลอด ปกติหนังอินเดียจะบู๊น้อยอยู่แล้ว แต่พอเวลาบู๊ทีนี่แทบจะเป็นกำลังภายในก็ว่าได้ และเหมือนทีมสร้างจะรู้ว่าหนังอินเดียบู๊เหมือนหนังกำลังภายใน พี่แกเลยจัดผู้กำกับคิวบู๊อิมพอร์ตมาจากฮ่องกงกันเลย และชื่อของเขาก็คือ โทนี่ เฉิง หรือ เฉิงเสี่ยวตง นั่นเอง
พูดถึง เฉิงเสี่ยวตง ผู้กำกับคิวบู๊คนนี้ เราอาจไม่ได้รู้จักเขาดีเท่ากับ หยวนหวูผิง หรือ ดอนนี่ เยน เท่าไรนัก แต่ถ้าคุณเคยดูหนังของ จางอี้โหมว อย่าง Hero , Flying Daggers แล้วล่ะก็ เขานี่แหละครับ คือผู้กำกับคิวบู๊ในหนังเหล่านั้น อาจเป็นเพราะต้องการความแปลกใหม่หรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เพราะในหนังมีอยู่ฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของกฤษณะ ในการจดจำสิ่งต่างๆที่อยู่ตรงหน้าแล้วเอามาเลียนแบบได้ นั่นคือตอนที่กฤษณะเดินทางไปสิงคโปร์ และได้พบกับชายชาวจีนคนหนึ่งรำมวยจีนอยู่ กฤษณะได้จดจำและเอาท่วงท่าเหล่านั้นมาใช้ในการต่อสู้นั่นเอง แต่จะว่าไปคิวบู๊ในเรื่องก็ไม่ถึงกับว่าดีมากนะครับ ตามมาตรฐานหนังอินเดียก็อาจจะพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ถ้าตามมาตรฐานของ เฉิงเสี่ยวตงแล้ว ถือว่างั้นๆนะครับ แถมคิวบู๊ยังต้องอาศัยบลูสกรีนมาเสริมอีกต่างหาก ก็ดูไม่เนียนกันไปตามสไตล์หนังอินเดียเค้าน่ะแหละ แต่การตัดต่ออะไรก็ทำให้ออกมาสนุกดี โดยเฉพาะคิวบู๊ตอนสุดท้ายที่ลูกน้องกรูกันเข้ามาอย่างไม่มีเหตุผล จนนึกไม่ออกว่าทำไมนักวิทยาศาสตร์คนนึง ต้องจ้างลูกน้องไว้เยอะขนาดนี้ด้วย(ฟระ)
แต่ถึงลูกน้องจะบานตะไทแค่ไหนก็เสร็จพี่กฤษณะแกทุกราย ที่น่าเสียดายก็คือ ในเรื่องไม่มีคู่ต่อสู้ประเภทที่ความสามารถสูสีกับ Krrish เลย ส่วนมากจะเป็นลูกกระจ๊อกรุมเอาซะมากกว่า ก็หวังว่าภาค 2 จะมีมาให้นะครับ ส่วนตัวแล้วผมมองว่า หฤติก เหมาะมากนะครับกับบทกฤษณะ ด้วยรูปร่างที่สูงล่ำเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หน้าตาคมเข้มและแววตาขี้สงสารอะไรมันใช่หมดเลยครับ จึงไม่น่าแปลกใจที่ฉากดราม่าบางฉากของกฤษณะจะทำให้เราหลั่งน้ำตาได้ อีกท้ังเรื่องการออกลีลาคิวบู๊อะไรนี่ไม่ต้องห่วงครับ เพราะแต่ละกระบวนท่าของพี่ติ๊ก(เรียกตามแบบที่แฟนคลับสาวๆในไทยเรียกกัน)นั้น หนักแน่นดุดันจนดอนนี่ เยน ยังต้องมีหนาวเลยทีเดียว แถมหุ่นพี่แกนี่เรียกว่า ทำผมนอนอิจฉาไปหลายวันเลย อยากจะมีหุ่นอย่างพี่เค้ามั่ง ต้องทำยังไงดีเนี่ย ส่วนน้องพีค เอ๊ย ปรียังคะของเรา (เห็นปากเจ่อเหมือนกันเลยเรียกผิดซะงั้น) ก็เล่นได้ดีครับ ดูเป็นสาวบ๊องๆดี แต่ที่เอาใจไปเลยต้อง ป้าเรขา ที่เล่นเป็นย่าของกฤษณะ คนนี้นี่ระดับเทพของแท้ สมกับที่ฝากฝีไม้ลายมือในวงการมากว่า 40 ปีจริงๆ เรียกว่าฉากไหนที่พี่ติ๊กมาป๊ะหน้ากับป้าเรขาแล้วล่ะก็ ใครที่รู้ตัวว่าอ่อนไหวง่ายก็ขอให้เตรียมทิชชู่หรือผ้าเช็ดน้ำตาไว้ให้ดีก็แล้วกัน
ไหนจะดนตรีประกอบที่โหมกระหน่ำคอยกระตุ้นหัวใจผู้ชมตลอดเวลาอีก เรียกว่างานเบื้องหลังนี่ก็ใช่ย่อยเหมือนกัน เพราะเรื่องของเพลงเป็นเสน่ห์ของหนังอินเดียอยู่แล้วครับ โดยเฉพาะเพลงในฉากบู๊ทำมาได้ถึงใจทีเดียว พอพูดถึงฉากบู๊แล้ว ก็อย่างที่บอกแหละครับว่าเรื่องนี้บู๊น้อยมาก โดยเฉพาะพาร์ทแรก (หนังอินเดียส่วนใหญ่แบ่งเรื่องเป็นสองพาร์ท)นี่ ไม่มีให้เห็นแม้แต่หมัดเดียว เพิ่งจะมามีในพาร์ทสอง คือตอนที่กฤษณะมาสิงคโปร์แล้ว และถ้าใครที่อยากเห็นหนังบู๊แบบ ระเบิดอาคาร ผลาญถนน คนเลือดสาด ขอให้ผ่านไปเลยครับ เพราะฉากบู๊ในเรื่องค่อนข้างจะซอฟท์เอามากๆ เนื่องจากกฤษณะนั้นเป็นคนค่อนข้างมีเมตตา ไม่ได้โหดอะไรมากมาย แม้บุคลิกและหน้าตาตอนอยู่ในชุดยูนิฟอร์มจะดูโหดเอามากๆก็ตาม แต่ก็ดีไปอีกแบบครับ หนูๆน้องๆจะได้ดูกันได้ เพราะไม่โหดมาก และคาแรคเตอร์น่ารักๆของกฤษณะก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนได้ เรียกได้ว่าเป็นหนังบู๊ที่ดูกันได้ทุกวัย และทุกเพศ(โดยเฉพาะเก้งกวาง ถ้าได้เห็นซิกซ์แพ็คพี่ติ๊กแล้วล่ะก็คงตัวสั่นกันเป็นแถว เหอะๆ)
ส่วนฉากกุ๊กกิ๊กอะไรก็มีบ้าง (ไม่บ้างหรอก เยอะเลยแหละ) ตามสไตล์หนังอินเดีย กว่าพระเอกนางเอกจะรู้จักชื่อจริงกันก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว และคำพูดหวานๆแต่ละคำที่อีตากฤษณะเอามาจีบนางเอกนี่ก็นึกว่า ไชยา มิตรชัย ปะทะ กุ้ง สุธิราช มาพูดเอง คือหวานเลี่ยนออกแนว ลิเก๊ ลิเก มาแต่ไกล จนคนฟังนี่จะอ้วกแตกตายซะให้ได้ ถึงว่าสิ ทำไมพวกตลกถึงชอบพูดกันว่า “อันลิเกเฮฮามาจากแขก เฮ้!” เพราะต้นกำเนิดมันอยู่ที่นี่นี่เอง และบางคนอาจจะสงสัยว่า พระเอกจีบนางเอกแบบนี้ จะมีฉากร้องเพลงวิ่งข้ามเขาหรือเปล่า จะเหลือเหรอครับ! ก็บอกอยู่แล้วว่ากฤษณะเติบโตมาในแถบเชิงเขา แถมนางเอกมาเที่ยวบ้านพระเอกถึงที่ มีอย่างที่ไหนที่เขาจะปล่อยฉากคลาสสิคให้หลุดลอยไป ทำงั้นได้ไง เสียชื่อหนังอินเดียหมด แต่ก็อย่างว่าแหละครับ เป็นเสน่ห์ของหนังอินเดียทุกเรื่องอยู่แล้ว และก็อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้แหละครับ ที่หลายคนค่อนข้างเอือมกัน และทำให้หนังอินเดียไม่โกอินเตอร์เท่าไหร่นัก เพราะยังเจาะตลาดคนในประเทศตัวเองอยู่
ถ้าตัดเรื่องความสมเหตุสมผลออกไป แล้วมองกันที่ตัวคาแรคเตอร์และการดำเนินเรื่องแล้ว Krrish ก็ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูได้สนุก ประทับใจพอสมควร ผมดูจบแล้วยังชอบเลย โดยเฉพาะบทสรุปของเรื่องที่ทำออกมาได้อบอุ่นมาก แม้กระทั่งจะอยู่ในฉากที่ต่อสู้กันอยู่ก็ตาม ไปจนกระทั่งฉากจบของเรื่อง ตั้งแต่ดูหนังมายังไม่เคยเห็นหนังบู๊เรื่องไหนที่ทำช่วงท้ายได้อบอุ่นหัวใจเท่าเรื่องนี้มาก่อน จนแม้แต่ผมเองก็ยังอดเสียน้ำตาไม่ได้เลย ก็ต้องชื่นชมคนเขียนบทและนักแสดงทุกท่านที่ทำหน้าที่ได้อย่างดี ที่สำคัญคือบทของแต่ละคนมีความเด่นในตัวเอง แม้กระทั่งบทเล็กๆอย่าง วิกรม ที่ออกมานิดเดียวแต่ก็มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก น่าเสียดายที่ยังไม่ได้ดู Koi… Mil Gaya มาก่อน ไม่อย่างนั้นคงดู Krrish ได้อย่างถึงอรรถรสมากกว่านี้ แต่ถ้าถามว่าถ้าไม่เคยดู Koi… Mil Gaya มาก่อนแล้วมาดู Krrish จะรู้เรื่องมั้ย บอกได้เลยว่า รู้เรื่องครับ เพราะมันจะเท้าความให้ และไม่สปอยล์ภาคแรกอีกต่างหาก ถึงตอนนี้ผมก็คงต้องขอตัวไปหา Koi… Mil Gaya มาดูก่อนล่ะครับ แล้วถ้าโอกาสอำนวยเมื่อไหร่จะเอามารีวิวกันอีกที
หากใครที่เบื่อกับบทพระเอกซุปเปอร์ฮีโร่สุดเก๊กตามสไตล์ฮอลลีวู้ดแล้วล่ะก็ ลองแวะมาลิ้มรสซุปเปอร์ฮีโร่พันธุ์โรตีอย่าง Krrish กันดูบ้าง แม้ตัวหนังจะไม่ได้ขายความครีเอท ทางแนวคิดเหมือนฮอลลีวู้ด แต่ก็เป็นหนังที่ดูง่าย สนุก น่าติดตาม ความสมเหตุสมผลอาจมีไม่มาก แต่ก็ได้แง่คิดและความประทับใจมาทดแทน ถือได้ว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรที่จำเจ หรืออยากจะลองอะไรที่มันแหวกแนวดูบ้าง Krrish ก็เป็นอีกหนึ่งช้อยส์ที่ส่วนตัวแล้วแนะนำให้หามาดูกันดีกว่า ลองมาเปิดใจดูหนังอินเดียซักเรื่อง สำหรับ Krrish ก็เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่บ่งบอกความเป็นอินเดียในหลายๆด้าน ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย ยันไปถึงสูตรสำเร็จอย่างเพลง คิวบู๊เว่อร์ๆ ฉากบอกรักสุดเลี่ยน แม้จะเป็นสิ่งที่หลายคนเอียน แต่ก็ต้องยอมรับได้ว่า เพราะฉากเหล่านี้แหละ ที่ทำให้หนังอินเดียเติบโตมาจนทุกวันนี้ เอาเป็นว่าแค่หนังเรื่องนี้เป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่อินเดียที่หาดูได้ยาก พระเอกสุดบึ้กพอๆกับ Captain America และรายได้ที่ฮิตถล่มทลายในอินเดีย คงมากพอที่จะทำให้หลายๆท่านอยากจะสรรหามาชมกันนะครับ
คะแนนรวม 8.5/10
ฉากเด็ด
ฉากที่กฤษณะเดินทางมาสิงคโปร์แล้วพบกับ คริสเตียน ลี (ปินเซี่ย) หนุ่มชาวจีนที่รำมวยจีนเพื่อเอาเงินไปรักษาน้องสาว กฤษณะได้จดจำท่ารำมวยจีนของลีจนหมดสิ้น และเมื่อลีเกิดอุบัติเหตุในการแสดง กฤษณะก็สวมวิญญาณฮีโร่โชว์ท่ารำกังฟูที่ได้จดจำมาเมื่อครู่นี้อย่างสวยงาม ฉากนี้นอกจากจะแสดงถึงคาแรคเตอร์ของกฤษณะในทุกด้านแล้ว ยังจะได้เห็นพี่ติ๊กของเราร่ายรำท่าต่างๆด้วยตัวเอง แบบโนแสตนด์อิน โนสตั๊นท์ (แต่มีสลิงนิดๆ)
ตัวอย่างภาพยนตร์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย Wikipedia
Directed by Rakesh Roshan
Produced by Rakesh Roshan
Screenplay by Sachin Bhowmick
Rakesh Roshan
Akash Khurana
Honey Irani
Robin Bhatt
Sanjay Masoom
Story by Rakesh Roshan
Starring Rekha
Hrithik Roshan
Priyanka Chopra
Naseeruddin Shah
Sharat Saxena
Music by Rajesh Roshan
Salim Sulaiman
Cinematography Santosh Thundiyil
Piyush Shah
Editing by Amitabh Shukla
Distributed by Filmkraft Productions (I) Pvt. Ltd.
Release date(s) June 23, 2006
Running time 185 minutes
Country India
Language Hindi
English
Cantonese
Budget 45 crore (US$9.13 million)[1]
Box office 117 crore (US$23.73 million)[2]