ต้นปี 2011 ก็มีหนังฟอร์มยักษ์มาเป็นของขวัญปีใหม่เช่นเดียวกับทุกๆปีนะครับ โดยเฉพาะหนังของลุงเฉินหลงที่จะออกฉายต้อนรับตรุษจีนจนเป็นธรรมเนียม ปีนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าปีอื่นๆ เพราะสำหรับ Shaolin หรือในชื่อไทยว่า เส้าหลิน สองใหญ่ นั้น ออกจะเป็นหนังที่ฟอร์มยักษ์กว่าปีที่ผ่านๆมา แน่นอนครับ เพราะมันเป็นงานกำกับของผู้กำกับจอมผลาญงบอย่าง เบนนี่ ชาน ที่ไม่ว่างานของพี่แกกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง ก็จะมีแต่ความวินาศสันตะโรทุกเรื่อง แต่งานของเบนนี่ทุกเรื่องก็ล้วนแต่สอดแทรกสาระทั้งสิ้น สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Shaolin นั้นเรียกได้ว่า “จัดหนัก” จริงๆครับ เพราะได้รวบรวมซุปตาร์ชั้นนำของฮ่องกงหลายท่านมาไว้ในเรื่องนี้ อีกทั้งสิ่งที่นำเสนอ ทั้งการดำเนินเรื่อง การแสดง ความสนุก และสาระที่ได้ สำหรับผมถือว่าทำได้ดีและเหนือกว่าความคาดหมายครับ
สิ่งแรกที่ดึงดูดผู้ชมให้เข้ามาร่วมชมได้ แน่นอนว่าต้องเป็นบรรดานักแสดงนำทุกท่าน ที่เรียกได้ว่า “มาเต็ม” จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพระเอกใหญ่ อย่าง หลิวเต๋อหัว , สาวสวยมาดนางพญา ฟ่านปิงปิง , ตัวร้ายน้องใหม่แกะกล่อง เซียะถิงฟง , ยอดนักวูซูมาดเท่ อู๋จิง , อดีตศิษย์เส้าหลินตัวจริง สิงอวี๋ หรือ เหยียนเหนิง และขวัญใจขาบู๊ตลอดกาล ป๋าเฉินหลง ที่แท็กทีมกันมาสร้างความสนุกและเร้าใจให้กับผู้ชมอย่างต่อเนื่อง โดยฝีมือการกำกับของ เบนนี่ ชาน เจ้าพ่อหนังฟอร์มยักษ์ของฮ่องกง และการกำกับคิวบู๊โดย คอรี่ย์ หยวน หรือ หยวนขุย และ หลี่จงจื่อ ผู้กำกับคิวบู๊เจ้าประจำของ เบนนี่ ชาน แม้คิวบู๊จะไม่ได้มีมากมายนัก ทว่าสิ่งที่น่าประทับใจคือ ทุกตัวละครและความสนุกทั้งมวลนั้น เรียกได้ว่า คุ้มค่าแก่การสรรหามาชมจริงๆครับ
Shaolin เป็นผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง Shaolin Temple หรือในชื่อไทยว่า เสี้ยวลิ้มยี่ เมื่อปี 1982 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักดารานักบู๊นาม หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ เจ็ท ลี แต่สำหรับ Shaolin นั้น เลือกที่จะเล่าเรื่องราวในยุคสุดท้ายของวัดเส้าหลินเก่า และศัตรูนั้นก็หาใช่ราชวงศ์ชิงไม่ หากแต่เป็นคนจีนด้วยกันและเหล่าทหารยุโรปที่ต้องการจะยึดครองอาณานิคมในบริเวณเมืองเติงเฟิงนั่นเอง เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ โหวเจีย(หลิวเต๋อหัว) และมือขวาคนสนิท เฉาหมั่น(เซียะถิงฟง) ตามล่า นายพลฮั่วหลง(เฉินจื้อฮุย) ผู้เป็นอริเข้ามาถึงเขตวัดเส้าหลิน และได้มีเรื่องกระทบกระทั่งกับเจ้าอาวาสและพระภิกษุที่นั่น โหวเจียได้จัดการสังหารนายพลฮั่ว และลบหลู่ป้ายสำนักวัดเส้าหลินอย่างเลือดเย็น ทั้งยังนึกดูแคลนวัดเส้าหลินและเหล่าหลวงจีนในวัดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทว่า อำนาจมักไม่มั่นคงนัก เมื่อโหวเจียถูกเฉาหมั่น ผู้เป็นคนสนิททรยศ เพราะนึกเคียดแค้นในตัวผู้บังคับบัญชาคนนี้มานาน ที่มักเอาแต่ใจตนเอง และกีดขวางหนทางอำนาจของตน ครอบครัวของโหวเจียถูกเฉาหมั่นตามล่า โดยการส่ง ซั่วเซียงถู(สงซินซิน) ยอดมือสังหารมาเข่นฆ่าโหวเจีย เหยียนซี(ฟ่านปิงปิง) ผู้เป็นภรรยา และ เชิงหนัน ลูกสาวคนเดียวของเขา จนเชิงหนันได้รับบาดเจ็บสาหัส โหวเจียได้ไปขอร้องหลวงจีนที่วัดเส้าหลิน ที่ซึ่งตนเคยเหยียดหยามมาก่อนให้ช่วยเชิงหนัน แต่อนิจจา เชิงหนันบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าที่เหล่าหลวงจีนจะช่วยชีวิตได้ทัน โหวเจียโกรธแค้นเหล่าหลวงจีน และนึกโทษว่าพวกเขาผูกใจเจ็บคราวที่ตนมาเหยียดหยามที่นี่ทำให้ไม่ยอมช่วยเหลือลูกสาวของตน เหยียนซีจึงได้เตือนสติโหวเจียว่า ที่เชิงหนันต้องตายก็เป็นเพราะผลของบาปกรรมที่เขาสร้างมันมาชั่วชีวิตต่างหาก ทำให้ชีวิตของเขาและครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาดอย่างนี้
โหวเจียเริ่มสำนึกถึงผลของบาปกรรมที่ส่งให้ชีวิตเขาต้องประสบกับเพทภัย เขาเสียใจจนกลายเป็นคนจมทุกข์ กระทั่งพลาดท่าตกเข้าไปในหลุมดักสัตว์ของ หูเต่า(เฉินหลง) พ่อครัวของวัดเส้าหลิน การใช้ชีวิตอย่างสมถะของหูเต่าทำให้โหวเจียได้รู้ซึ้งถึงสัจธรรมและตัดสินใจที่จะบวชเพื่อละทิ้งทุกสิ่งในทางโลก รวมทั้งเพื่อไถ่บาปที่ตนเองเคยกระทำเอาไว้ในอดีตด้วย โหวเจียได้บวชเป็นหลวงจีนและได้สมณะนามว่า ชิงเจี่ย ที่นี่นอกจากเจ้าอาวาสแล้ว เขายังมีสหายเป็นสามทหารเสือ ศิษย์เอกทั้งสามของเส้าหลินได้แก่ ชิงเหนิง(อู๋จิง) ศิษย์พี่ใหญ่ผู้เงียบขรึม , ชิงคง(สิงอวี๋) ตัวเกรียนประจำวัด และ ชิงไห่(หยูเส้าชุน) ศิษย์น้องผู้กะล่อนเป็นปลาไหล ที่นี่โหวเจียได้ศึกษาทั้งพระธรรม สัจธรรม และวรยุทธ์แห่งเส้าหลินด้วย
ทว่าวันหนึ่ง โหวเจียในเพศบรรพชิตได้เข้าไปขัดขวางการกระทำอันชั่วช้าของทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็คือทหารของเฉาหมั่นนั่นเอง เมื่อความทราบถึงเฉาหมั่น เขาก็หมายมั่นที่จะเอาชีวิตโหวเจียให้ได้ เฉาหมั่นจึงร่วมมือกับทหารฝรั่งเพื่อตามล่าโหวเจีย และทำลายวัดเส้าหลิน โดยอ้างว่าจะสร้างทางรถไฟใกล้เมืองเติงเฟิง ทว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นคือต้องการที่จะขโมยสมบัติของชาติต่างหาก ทำให้โหวเจียและบรรดาหลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน ต้องรวบรวมกำลังและวรยุทธ์ทั้งหมดที่มีต่อสู้กับเหล่าทหารฝรั่งและบรรดาคนขายชาติเพื่อรักษาวัดเส้าหลินให้ได้
ตัวละครหลัก
โหวเจีย(หลิวเต๋อหัว) จากนายพลผู้ทระนง สู่หลวงจีนแห่งวัดเส้าหลิน เขาถูกเฉาหมั่นผู้เป็นพี่น้องทรยศ จนต้องหันหน้าเข้าสู่วัดเส้าหลิน สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยเหยียดหยามเอาไว้ จนได้พบถึงสัจธรรมที่่เที่ยงแท้
เฉาหมั่น(เซียะถิงฟง) มือขวาคนสนิทที่เปรียบเสมือนน้องชายของโหวเจีย ทรยศโหวเจียเพราะความทะเยอทะยานและไม่ต้องการเป็นเบี้ยล่างของโหวเจีย เป็นคนโหดเหี้ยม อำมหิต และมีวรยุทธ์สูง
เหยียนซี(ฟ่านปิงปิง) ภรรยาของโหวเจีย ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของสามี แต่ก็ไม่กล้าเถียง จนเมื่อลูกสาวเสียชีวิต เธอจึงได้เตือนสติให้โหวเจียรับรู้ถึงผลกรรมที่เขาได้เคยก่อเอาไว้
ชิงเหนิง(อู๋จิง) ศิษย์พี่ใหญ่แห่งวัดเส้าหลิน เป็นคนนิ่งๆ สุขุม เงียบขรึม ค่อนข้างจริงจังกับชีวิต เป็นพี่ที่น้องๆให้ความเคารพอย่างสูง และยังเป็นผู้ฝึกสอนวรยุทธ์เส้าหลินให้กับบรรดาเณรและหลวงจีนด้วย
ชิงคง(สิงอวี๋) ศิษย์เอกคนรองแห่งวัดเส้าหลิน เป็นคนขี้เล่น ทำอะไรไม่ค่อยคิด ใจร้อน วู่วาม แต่พอเวลาโกรธหรือเอาจริงขี้นมา ก็ไม่มีใครหยุดเขาเอาไว้ได้เหมือนกัน
ชิงไห่(หยูเส้าชุน) ศิษย์เอกคนที่สามแห่งวัดเส้าหลิน เป็นคนเจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกง เอาตัวรอดเก่ง ครั้งหนึ่งเคยออกความคิดไปขโมยข้าวมาแจกจ่ายชาวบ้านที่หิวโหยเพื่อให้ดูเท่เล่นๆ
หูเต่า(เฉินหลง) พ่อครัวแห่งวัดเส้าหลิน อดีตหลวงจีนผู้ผันตัวเองมาทำงานในครัว ใช้ชีวิตอย่างสมถะตามประสาชายวัยกลางคน ดูเรื่อยเปื่อย ชอบเล่นกับบรรดาเณรน้อย ส่วนวรยุทธ์นั้น…?
วัดเส้าหลิน เป็นชื่อของวัดที่คอหนังจีนและคอนวนิยายกำลังภายในรู้จักกันดี เพราะที่แห่งนี้เป็นสถานที่ก่อกำเนิดวรยุทธ์หลายแขนงทั่วยุทธภพ ทั้งยังก่อเกิดหลายชีวิตที่เป็นวีรบุรุษในประวัติศาสตร์จีน และได้รับเลือกให้เป็นฉากหลังของนวนิยายและหนังกำลังภายในต่างๆหลายร้อยเรื่อง กระทั่งมาจนถึงยุค 2011 สถานที่ที่เป็นเสมือนตำนานนี้ก็ถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง โดย เบนนี่ ชาน แม้จะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Shaolin Temple เมื่อปี 1982 ทว่าสำหรับ Shaolin ฉบับนี้ก็มีแนวทางการดำเนินเรื่องที่เป็นสไตล์ของตนเอง (หรือจะบอกว่าเป็นสไตล์ของ เบนนี่ ชาน เองก็ไม่ผิด) โดยแทนทีจะกระหน่ำฉากบู๊เข้าไป ตามแบบหนังกำลังภายในทั่วไปที่มีวัดเส้าหลินเป็นแบ็คกราวนด์ เบนนี่เลือกที่จะนำเสนอ Shaolin ในด้านของอารมณ์ดราม่า และสอดแทรกสาระ รวมถึงปรัชญาของพุทธศาสนา ที่ว่าด้วยเรื่องของผลกรรมเป็นหลัก ที่ส่งให้บรรดาตัวละครหลายตัวในเรื่องต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนเองไปอย่างสิ้นเชิง
ตัวละครที่เห็นได้ชัด คือ โหวเจีย พระเอกของเรื่องนั่นเอง จากนายพลผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพ ถึงขนาดเหยียบย่ำวัดเส้าหลินได้ตามอำเภอใจ กลับต้องถูกคนสนิทของตนนั่นคือ เฉาหมั่น ทรยศจนต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนเพียงชั่วข้ามคืน ทั้งยังสูญเสียบ้านและลูกสาวคนเดียวไปอีกด้วย โชคยังดีที่ได้ธรรมะจากวัดเส้าหลินช่วยขัดเกลาจิตใจให้อยู่ในธรรม และปวารณาตนเป็นหลวงจีนในที่สุด เมื่อลองย้อนนึกดู สิ่งที่ทำให้โหวเจียต้องบ้านแตก และถูกลูกน้องทรยศ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะตัวโหวเจียเองที่เอาแต่ใจ และกดขี่เฉาหมั่นผู้เป็นลูกน้องตลอดเวลา บวกกับที่เฉาหมั่นมีความโหดเหี้ยมอำมหิตและความทะเยอทะยานอยู่ในจิตใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่โหวเจียจะถูกลูกน้องของตนทรยศลงอย่างเลือดเย็น นี่แหละครับ ทำอะไรก็ต้องรับผลกรรมที่ตัวเองเคยทำไว้ เคยไล่ล่าเขาอยู่ ไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งก็ต้องถูกคนอื่นเขาไล่ล่าเอาอยู่ดี เฮ้อ ชีวิตนี้มีแต่ความไม่เที่ยงจริงๆ
แม้จะจั่วหัวตนเองว่าเป็นหนังดราม่าแอ็คชั่น ทว่าเอาเข้าจริงๆแล้ว หนังก็มีมุมอบอุ่นอยู่ไม่น้อย ซึ่งมุมเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่มาจากตัวของบรรดาหลวงจีนในวัดนั่นเอง ที่มีความเป็นกันเอง โดยเฉพาะกับตัวโหวเจีย โดยไม่ใส่ใจว่าเขาเคยเหยียดหยามวัดและเหล่าหลวงจีนมาก่อน ขอเพียงแต่เป็นผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทางวัดก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือโดยไม่ขัดข้อง นอกจากนี้ ทั้งเจ้าอาวาส และเหล่าหลวงจีนก็ยังปฏิบัติกับโหวเจียอย่างเป็นมิตร ที่นี่ทำให้โหวเจียได้รู้จักถึง “การให้” เช่นในฉากที่พ่อครัวหูเต่าพาโหวเจียไปแจกหมั่นโถวแก่ชาวบ้านที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก หรือฉากที่เด็กๆเอาหมั่นโถวมาให้โหวเจียที่บวชเป็นหลวงจีนชิงเจี่ยแล้วเป็นการตอบแทน เป็นนัยยะที่เสนอเกี่ยวกับเรื่องราวของการให้ที่ไม่สิ้นสุด หากเราอยากให้เขาให้ ก็จงให้เขาก่อน เพราะหลวงจีนต้องการให้โหวเจียปฏิบัติด้วยดี จึงปฏิบัติด้วยดีกับโหวเจียก่อน ไม่ต่างกัน หากโหวเจียเป็นมิตรกับชาวบ้าน แล้วชาวบ้านจะเป็นอริกับโหวเจียได้อย่างไร
และก็เพราะโหวเจียที่ร้ายกับเฉาหมั่นก่อน เฉาหมั่นจึงต้องร้ายกับโหวเจียตอบ สำหรับบทบาทของเฉาหมั่นนั้น รับหน้าที่โดย เซียะถิงฟง เป็นผู้ถ่ายทอด สำหรับเซียะถิงฟงนั้นก็เป็นเด็กปั้นของเบนนี่เช่นเดียวกัน และแจ้งเกิดมาจากบทพระเอกเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ก่อนนั้นเท่าที่ผมติดตามงานของเขามา ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบการแสดงของตาเซียะเท่าไหร่ เพราะเล่นยังไงก็ไม่เป็นธรรมชาติ หน้าตาเวลาโกรธก็ทำเหมือนงอน จึงรู้สึกขัดใจเล็กน้อยที่ทราบว่า เซียะถิงฟงเล่นเป็นตัวร้ายในเรื่องนี้ เพราะตัวร้ายแต่ละตัวของเบนนี่มาลุคเดียวกันหมด คือไม่โหด แต่เหี้ยม ดูเป็นผู้นำ และมักขู่คนอื่นทางสายตาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่พอได้ดูจริงๆ ไม่เลยครับ เซียะถิงฟงถ่ายทอดออกมาได้ดีพอสมควร ดูแล้วน่าหมั่นไส้จริงๆ อาจเป็นเพราะคาแรคเตอร์ของเขาดูเป็นคนขรึมๆอยู่แล้ว ทำให้เซียะถิงฟงดูเข้ากับบทเฉาหมั่นจริงๆ ต้องขอชื่นชมเซียะถิงฟง ที่พลิกคาแรคเตอร์มาเป็นตัวร้ายที่ถือว่าเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก สำหรับผม ผมพอใจกับบทนี้ของเขามากจริงๆ
ส่วนที่มาเป็นแก๊งก็ได้แก่สามทหารเสือแห่งวัดเส้าหลินอย่าง ชิงเหนิง ชิงคง และชิงไห่ ที่รับบทโดย อู๋จิง สิงอวี๋ และหยูเส้าชุนตามลำดับ ดังที่ผมได้กล่าวมาข้างต้น คงจะพอทราบแล้วใช่มั้ยครับว่า ตัวละครทั้งสามตัวนี้มีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชิงเหนิงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ผู้เคร่งเครียดและเคร่งครัด ทั้งยังมีความสุขุมตามอายุ ในขณะที่ชิงคงยังคงเที่ยวเล่นและมักจะตั้งแก๊งกับชิงไห่ไปก่อวีรกรรมวีรเวรให้เป็นที่ปวดเศียรเวียนเกล้าเสมอๆ โดยเฉพาะการปลอมตัวเป็นจอมโจรคุณธรรม ขโมยข้าวสารมาแจกจ่ายชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก แม้จะเป็นวีรกรรมซนๆที่ดูไม่ต่างจากเด็กๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องต่อสู้ หรือต้องกอบกู้คุณธรรม พวกเขาก็ใช้ความสามารถในเชิงวรยุทธ์มารับมือได้เป็นอย่างดี และจิตใจของพวกเขาก็เด็ดเดี่ยวกล้าหาญและจริงจังกับชีวิตไม่แพ้ศิษย์พี่ใหญ่อย่างชิงเหนิงเลยทีเดียว
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คงไม่พ้นเจ้าพ่อหนังกังฟูอย่างป๋าเฉินหลง ที่กลับมาคราวนี้เพื่อพลิกคาแรคเตอร์เป็น หูเต่า พ่อครัวในวัดเส้าหลิน ซึ่งผมคิดว่าเหมาะกับคาแรคเตอร์ของเฉินหลงมากทีเดียว หูเต่าเป็นชายวัยกลางคนที่เคยบวชเป็นหลวงจีนมาก่อน ทว่าสึกเสียเพราะคิดว่าตนยังละทางโลกไม่ได้ แต่ถ้าใครที่ได้ชมแล้วลองมองดู จะพบว่าแท้จริงแล้วหูเต่าละทางโลกได้ดีกว่าพระบางรูปเสียอีก แม้ภายนอกหูเต่าจะดูเป็นชายวัยกลางคนที่ค่อนข้าง “ลัลล้า” กับชีวิตในช่วงบั้นปลาย แม้จะไม่ได้มีเงินทองมากมาย ไม่มีสุราเคล้านารี แต่หูเต่าก็ยังมีความสุขกับการใช้ชีวิตอย่างสมถะในวัดเส้าหลิน มีความสุขกับการทำภัตตาหารเจให้หลวงจีนฉัน มีความสุขกับการได้เล่นหัวหยอกล้อกับบรรดาเณรน้อยที่แวะเวียนมาเป็นลูกมือในการทำอาหารอยู่ทุกมื้อมิได้ขาด หูเต่าจึงเป็นตัวละครที่สื่อถึงการพบกับความสุขที่แท้จริงในชีวิต ความสุขที่มาพร้อมกับคำว่า “พอ” ความสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้นอกจากตัวเราเองเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ค้นพบ และให้คำตอบกับทุกสิ่งในชีวิตได้
เมื่ออยู่ในวัดเส้าหลิน จะให้พูดถึงพระอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เพราะอีกสัญลักษณ์หนึ่งของวัดเส้าหลินก็คือ วรยุทธ์นั่นเอง ใช่แล้วครับ สิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือในเรื่องของคิวบู๊นั่นเอง ซึ่งคิวบู๊ในเรื่องนั้นอยู่ในการกำกับดูแลของ คอรีย์ หยวน หรือ หยวนขุย ผู้อยู่เบื้องหลังคิวบู๊ของหนังดังๆหลายเรื่อง ล่าสุดก็ใน Red Cliff 1-2 (สามก๊ก โจโฉ แตกทัพเรือ 1-2) ที่หลายคนคงประทับใจกับลีลาบู๊ของท่าน จิวยี่ และกลยุทธ์อันเหนือชั้นของท่าน ขงเบ้ง ไปไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับใน Shaolin นั้นผมก็รู้สึกประทับใจที่ได้มาดูการกำกับคิวบู๊แบบกังฟูของหยวนขุยอีกครั้ง ที่ยังสร้างความสนุกและเร้าใจไม่แพ้งานเก่าๆของเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้ในต้นเรื่อง ระหว่างเฉาหมั่นกับชิงเหนิงที่งานนี้บรรดาทีมงานขอตามกระแส หย่งชุน กับเขาอีกราย ด้วยการสร้างให้เฉาหมั่นใช้หมัดหย่งชุนต่อสู้กับวรยุทธ์เส้าหลินของชิงเหนิง ได้ดูหมัดหย่งชุนเวอร์ชั่นหยวนขุยก็รู้สึกแปลกตาไปอีกแบบนะครับ หลังจากที่ชมเวอร์ชั่นของหงจินเป่า และหยวนหวูปิงกันมาบ้างแล้ว
คิวบู๊ในเรื่องมีการผสมผสานระหว่างกังฟูและการโลดโผน ปนกายกรรมนิดๆ และการใช้อาวุธสุดคลาสสิคอย่างพลอง ฉากที่ชิงคงและชิงไห่ปลอมตัวใส่ชุดไอ้โม่งเพื่อขโมยข้าวมาแจกจ่ายชาวบ้าน แล้วโลดแล่นไปบนหลังคาบ้าน ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง Iron Monkey (มังกรเหล็กตัน) หนังสุดมันส์อีกเรื่องของ หยวนหวูปิง สมัยปี 1993 ไม่น้อย เพราะในเรื่องนั้น “วานรเหล็ก” ก็เป็นศิษย์เส้าหลินเช่นเดียวกัน สำหรับในเรื่องนี้เราก็ได้เห็นท่าเตะสวยๆของเฮียอู๋จิงเช่นเดิม รวมทั้งการได้เป็นตัวขโมยซีน(ซะที)ของสิงอวี๋ หลังจากที่ไปเป็นตัวประกอบอดทนในหนังของผู้กำกับ วิลสัน ยิป มาซะหลายเรื่อง แม้บทจะไม่เยอะมาก แต่ก็นับว่าได้ใจผู้ชมไปไม่น้อย ส่วนใครที่ยังไม่ได้ชมและอยากทราบว่าป๋าเฉินหลงของเราจะมาออกลีลาฟัดเช่นเคยหรือไม่ อันนี้ก็ลองพิจารณาจากสังขารของป๋าแล้วไปติดตามชมกันเองในหนังจะเป็นการดีกว่านะครับ (ตอนนี้ก็มีเป็น VCD และ DVD เรียบร้อยแล้ว)
นอกจากการดำเนินเรื่อง การถ่ายทอดอารมณ์ของนักแสดงนำแต่ละท่าน คิวบู๊อันดุเดือดเร้าใจ รวมถึงสาระที่สอดแทรกอย่างแน่นหนาและเต็มเปี่ยมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ดูได้อย่างประทับใจ และเต็มอิ่มกับอารมณ์อีกไม่น้อย ก็คือเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่มีชื่อว่า Wu(อู่) แปลว่า รู้แจ้ง ซึ่งผู้ที่ขับร้องเพลงนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เฮียหลิวเต๋อหัว พระเอกของเรื่องนั่นเอง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วขอบอกว่าชอบเพลงนี้มากครับ เป็นเพลงที่เพราะมากๆอีกเพลงหนึ่งของเฮียหลิว ทราบมาว่าเฮียหลิวเขียนเนื้อเองด้วย ถ้าที่ผมทราบมาเป็นเรื่องผิดพลาดก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ สำหรับเพลง อู่ นั้นเนื้อหาก็จะพูดถึงเกี่ยวกับการรู้แจ้ง และการละซึ่งกิเลสทั้งหลาย ทำนองและเมโลดี้จะคล้ายๆกับซาวนด์แทร็คในหนังเรื่อง Braveheart (วีรบุรุษหัวใจมหากาฬ) ของ เมล กิ๊บสัน แต่รับรองว่าไพเราะและยิ่งใหญ่สมกับที่เป็นเพลงประกอบหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้อย่างแน่นอนครับ
เป็นเวลานานแล้วนะครับ ที่ไม่ได้ดูหนังกังฟูที่เปี่ยมด้วยสาระมากเท่ากับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ Ip Man 2 เป็นต้นมา ที่ผ่านมาหนังกังฟูและกำลังภายในส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยฉากฆ่าฟันและการล้างแค้นกันไปมาแบบไร้สาระ แต่พอมาถึง Shaolin นับว่าเป็นหนังกังฟูที่มีสาระมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เท่าที่มีการสร้างกันมา ทั้งหมดต้องยกให้เป็นความดีความชอบของบรรดาทีมงานที่ร่วมกันสรรค์สร้างมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม และคงจะได้รับเสียงชื่นชมไปอีกนานแสนนาน สำหรับความทุ่มเทในทุกด้านที่มีให้กับหนังเรื่องนี้ ทำให้มันเป็นหนังที่ใกล้เคียงกับคำว่า “Perfect” มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ชวนให้นึกถึงชื่อภาษาอังกฤษของหนัง Shaolin อันหมายถึงเส้าหลินตรงๆ โดยที่ไม่ต้องมีคำว่า Temple ที่แปลว่าวัดต่อท้าย นั่นอาจหมายถึง เส้าหลิน หาใช่เป็นเพียงแค่วัด ทว่าคือหนึ่งในเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ดั่งคำที่กล่าวไว้ว่า “ในใจมีเส้าหลิน ทุกที่ย่อมมีเส้าหลิน” และแน่นอนว่า เบนนี่ ชาน ได้ทำให้เส้าหลินเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมทุกท่านเรียบร้อยแล้ว
ฉากเด็ด
ฉากที่เชิงหนัน ลูกสาวของโหวเจียที่บาดเจ็บสาหัส และสั่งเสียกับผู้เป็นพ่อให้วางความอาฆาตหลวงจีนลงเสีย นับว่าเป็นฉากระเบิดอารมณ์ของทั้งเฮียหลิวและเจ๊ฟ่าน ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่กดดัน และเรียกน้ำตาแก่ผู้ชมได้มากที่สุดอีกฉากหนึ่งเลยทีเดียว
เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ Wu(อู่) หรือ รู้แจ้ง ไปฟังกันนะครับ
VIDEO
ขอขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย Wikipedia
Directed by Benny Chan
Produced by Benny Chan
Written by Alan Yuen
Starring Andy Lau
Nicholas Tse
Jackie Chan
Fan Bingbing
Wu Jing
Music by Nicolas Errèra
(additional music : Anthony Chue)
Cinematography Anthony Pun
Editing by Yau Chi-wai
Studio Emperor Motion Pictures
China Film Group Corporation
Huayi Brothers Media Corporation
Beijing Silver Moon Productions Ltd.
China Songshan Shaolin Temple Culture Communication Center
Distributed by Emperor Motion Pictures
Release date(s) 19 January 2011 (China)
27 January 2011 (Hong Kong)[1]
Running time 131 minutes
Country Hong Kong
China
Language Cantonese[1]
Mandarin [2]